วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

โครงงาน
เรื่อง   ทฤษฎีรังนกพิราบ






นางสาวสุนันทา   ศรีสุข






โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์






โครงงาน
เรื่อง   ทฤษฎีรังนกพิราบ




นางสาวสุนันทา   ศรีสุข
รหัสนักศึกษา 55181400143
สาขาวิชา  คณิตศาสตร์





โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์







โครงงานคณิตศาสตร์
เรื่อง   ทฤษฎีรังนกพิราบ
ผู้จัดทำโครงงาน
นางสาวสุนันทา  ศรีสุข
รหัสนักศึกษา  55181400143
สาขาวิชา  คณิตศาสตร์

บทคัดย่อ
                 โครงงาน  ทฤษฎีรังนกพิราบ  (The Pigeonhole principle)  เป็นการใช้ความจริงในธรรมชาติซึ่งเกี่ยวกับนกพิราบและรังของนกพิราบ โดยกล่าวว่า  ถ้ามีจำนวนนกพิราบมากกว่าจำนวนของรังนกพิราบแล้ว  จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งรัง  ที่มีจำนวนนกพิราบอย่างน้อยสองตัว  และหลักการรังนกพิราบนี้  มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  “ Dirichlet drawer principle”  เนื่องจากหลักการนี้ถูกใช้ครั้งแรกโดยนักคณิตศาสตร์  ชื่อ  P.G.L. Dirichlet (1805 1859)  ซึ่งจากหลักการนี้  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา  และคาดการณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้  ซึ่งจากทฤษฎีกล่าวว่า  ถ้า  ให้  K €  I+    ถ้ามีนกพิราบอย่างน้อย  K+1  ตัว  บินเข้ารัง  รัง  แล้วจะมีรังอย่างน้อย  1  รัง ที่มีนกพิราบอย่างน้อย  2  ตัว  และจากหลักการนี้นำไปแก้ปัญหาและสถานการณ์ต่าง ๆ เช่น  มีจำนวนนักเรียนที่น้อยที่สุดที่เรียนคณิตศาสตร์แล้วแน่ใจได้ว่า  มีนักเรียนอย่างน้อยหกคนที่ได้เกรดเดียวกัน  โดยเกรดที่เป็นไปได้ทั้งหมดในการเรียนวิชานี้  มีอยู่  5  เกรด  คือ  A , B , C , D และ  F  จากการใช้ทฤษฎีบทที่  2  จะได้ว่า  จำนวนนักเรียนที่น้อยที่สุดที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าจะมีนักเรียนอย่างน้อย  6  คนที่ได้เกรดเดียวกัน  คือ  26  คน
                สรุปได้ว่า  ทฤษฎีรังนกพิราบ  เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหา  คาดเดาสถานการณ์และพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้

กิตติกรรมประกาศ
        โครงงานคณิตศาสตร์ฉบับนี้สำเร็จอย่างสมบรูณ์ได้ด้วยการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆและเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ให้คำแนะนำที่ดีในการจัดทำโครงงานฉบับนี้และคอยชี้แนะแนวทางในการทำโครงงานในแหล่งที่หาข้อมูลของโครงงาน

นางสาวสุนันทา  ศรีสุข












สารบัญ
เรื่อง                                                                                                                                                            หน้า                                                                                             
บทที่1  บทนำ                                                                                                                                                  1
บทที่2  แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง                                                                                                                    4
บทที่3  วิธีดำเนินการ                                                                                                                                       6
บทที่4   ผลการดำเนินงาน                                                                                                                               8
บทที่5   สรุปผลและการนำไปใช้                                                                                                                    9
เอกสารอ้างอิง                                                                                                                                                13

ภาคผนวก                                                                                                                                                      14




บทที่ 1
บทนำ
ความสำคัญ
       การศึกษาวิธีการทางคณิตศาสตร์เพื่อเป็นพื้นฐานในการคิดอย่างมีระบบและมีเหตุผล เป็นธรรมชาติของคณิตศาสตร์กับธรรมชาติของคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์กับธรรมชาติ หลังวิธีคิดทางคณิตศาสตร์การศึกษาของเราจึงต้องหาวิธีอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมากมากคณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ ระเบียบ มีแบบแผน  สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ทำให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนศาสตร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นนอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังช่วยพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์  มีความสมดุลทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และอารมณ์ สามารถคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
           คณิตศาสตร์เป็นทักษะที่สำคัญที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งในการดำรงชีวิตใน   แต่ละวันจะต้องมีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อยธรรมชาติกับคณิตศาสตร์จึงเป็นความสัมพันธ์ที่สามารถอธิบายเป็นหลักการได้มากมาย
หลักการรังนกพิราบ (The pigeonhole principle)
               หลักการรังนกพิราบ (The pigeonhole principle) เป็นการใช้ความจริงในธรรมชาติซึ่งเกี่ยวกับนกพิราบและรังของนกพิราบ โดยกล่าวว่า “ถ้ามีจำนวนนกพิราบมากกว่ารังนกพิราบแล้ว จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งรัง ที่ทีจำนวนนกพิราบอย่างน้องสองตัว” และหลักการรังนกพิราบนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Dirichlet drawer principle” เนื่องจากหลักการนี้ถูกใช้ครั้งแรกโดยนักคณิตศาสตร์ชื่อ P.G.L. Dirichlet (1805-1859)  ซึ่งจากหลักการนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา แหละคาดการเหตุการณ์การต่างๆ ได้ซึ่งจะนำเสนอต่อไปนี้

วัตถุประสงค์ของโครงงาน
1.   เพื่อศึกษาหลักการนกพิราบ
         2.  เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีหลักการนกพิราบ
         3.  เพื่อประยุกต์หลักการและนำไปใช้ในการแก้ปัญหาและสถานการณ์ปัจจุบัน

คณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง
         ทฤษฎีนกพิราบ
         การพิสูจน์ทฤษฎี
         การแก้สมการ
         กฎการนับเบื้องต้น
ขั้นตอนการดำเนินการ
      1.  ศึกษาหัวข้อโครงงาน
      2.   ค้นคว้าข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ (อินเทอร์เน็ต)
      3.   หาวิธีการพิสูจน์ทฤษฎีและพิสูจน์ทฤษฎี
      4.   ตรวจสอบปรับปรุงแก้ไขโครงงาน
      5.  สรุป
 ผลที่คาดว่าจะได้รับ
     1.  ได้เรียนรู้แนวคิดทฤษฎีที่ยังไม่เคยศึกษามาก่อน
     2.  ได้ฝึกการใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ในการพิสูจน์ทฤษฎี โดยต้องใช้ความพยายามและพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อย่างถูกต้องและแม่นยำ
     3.  ได้นำแนวคิดทฤษฎีรังนกพิราบไปประยุกต์ใช้  ใช้ในการคาดเดา  พยากรณ์แก้ปัญหาต่างๆ ในปัจจุบันและเป็นความรู้พื้นฐานในการเรียนชั้นสูงต่อไป

                                                                        

 บทที่  2
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
หลักการรังนกพิราบ (The pigeonhole principle)
              หลักการรังนกพิราบ (The pigeonhole principle) เป็นการใช้ความจริงในธรรมชาติซึ่งเกี่ยวกับนกพิราบและรังของนกพิราบ โดยกล่าวว่า “ถ้ามีจำนวนนกพิราบมากกว่ารังนกพิราบแล้ว จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งรัง ที่ทีจำนวนนกพิราบอย่างน้องสองตัว” และหลักการรังนกพิราบนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Dirichlet drawer principle” เนื่องจากหลักการนี้ถูกใช้ครั้งแรกโดยนักคณิตศาสตร์ชื่อ P.G.L. Dirichlet (1805-1859)  ซึ่งจากหลักการนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา แหละคาดการเหตุการณ์การต่างๆ ได้ซึ่งจะนำเสนอต่อไปนี้
ทฤษฎีบทที่ 1        
                   หลักการรังนกพิราบ (The pigeonhole principle)ให้  K € Iถ้ามีนกพิราบอย่างน้อย K+ 1 ตัว บินเข้ารัง K  รัง แล้วมีรังอย่างน้อย  1 รัง ที่มีนกพิราบอย่างน้อย  2 ตัว


พิสูจน์ทฤษฎีบทที่
1
             จะใช้วิธีการขัดแย้ง (by  contradiction) ในการพิสูจน์ ให้ K I   มีนกอย่างน้อย  K+1 ตัว บินเข้ารัง K  รัง  สมมติให้  ไม่มีรังนกใดเลยใน K  รัง  ที่มีนกมากกว่า 1 ตัว ดังนั้นรังนกแต่ละรังจะมีนก 1 ตัว หรือไม่มีเลย และมีรังนกทั้งหมด K  รัง  จึงได้ว่าจะมีจำนวนนกทั้งหมดน้อยกว่า 1 ตัวหรือเท่ากับ K  ตัว  (จำนวนทั้งหมด K ×1 )
             เกิดข้อขัดแย้ง  เพราะมีจำนวนนกอย่างน้อย K+ 1 ตัว เพราะฉะนั้น ถ้ามีนกอย่างน้อย K+ 1 ตัว บินเข้ารัง K  รัง  จะมีรังอย่างน้อย 1 รัง ที่มีนกน้อย 2 ตัว
ทฤษฎีบทที่ 2
          หลักการรังนกพิราบในกรณีทั่วไป (The Generalized pigeonhole principle)
ให้  N, K € I ถ้ามีนกพิราบ N ตัว บินเข้ารัง K รัง จะได้ว่าจะมีรังอย่างน้อย  1 รัง
ที่มีนกพิราบอย่างน้อย  ตัว


พิสูจน์ทฤษฎีบทที่ 2
                     ใช้วิธีการขัดแย้ง (by  contradiction) ในการพิสูจน์
 ให้ให้  N, K € I , ถ้ามีนก  N ตัว บินเข้ารัง K รัง สมมติให้ไม่มีรังนกใดที่มีนกอยู่มากกว่า 1 ตัว
     จะได้ว่า  จะมีจำนวนนกทั้งหมดไม่เกิน  K ×  ตัว
     จากคุณสมบัติของ ceiling  function  ที่กล่าวว่า <  X+1
     ดังนั้น  จะได้ว่า   <   + 1
     เพราะฉะนั้น  K  ×   K ×
     เกิดข้อขัดแย้ง  เพราะมีนกอยู่ทั้งหมด N ตัว


บทที่ 3
วิธีดำเนินการ
แนวทางการศึกษาค้นคว้า
                     เนื่องด้วยโครงงานนี้เป็นโครงงานคณิตศาสตร์ ประเภทการสร้างทฤษฎีหรือการอธิบาย (Thertied Research Project) จึงได้นำเสนอความคิดใหม่ๆ ในการอธิบายเรื่องทฤษฎีรังนกพิราบนี้ โดยใช้หลักการความเป็นเหตุเป็นผลทางคณิตศาสตร์หรือทฤษฎีสนับสนุน ในการทำโครงงาน
จากการพิสูจน์ทฤษฎี
                   จากการพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าวสามารถนำมาช่วยแก้ปัญหาและประยุกต์ใช้ในการหาคำตอบโจทย์ต่างๆ ดังนี้
1)            ในกลุ่มคนที่มี 367 คน จะต้องมีอย่างน้อย 2 คน ที่เกิดวันเดียวกัน เนื่องจากมีวันเกิดที่แตกต่างกันได้ทั้งหมด 366 วัน
2)            ในบรรดาคำต่างๆ ในภาษาอังกฤษ 27 คำ จะต้องมีอย่างน้อย 2 คำ ที่ขึ้นต้นด้วยอักษรตัวเดียวกันเนื่องจากอักษรภาษาอังกฤษมีทั้งหมด 26 ตัว
3)            จงหาว่าจะต้องมีนักเรียนอย่างน้อยเท่าใดในชั้นเรียน จึงจะสามารถอธิบายได้ว่า จะมีนักเรียน 2 คน ที่ได้รับคะแนนเท่ากัน จากการสอบครั้งนี้ คะแนนมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 คะแนน
วิธีการหาคำตอบ
              เนื่องจากการมีคะแนนที่เป็นไปได้ทั้งหมด 101 ค่า ดังนั้น จากทฤษฎีบทที่ ของหลักการรังนกพิราบจะได้ว่า ต้องมีนักเรียนอย่างน้อย 101 + 1 = 102 คน จึงจะแน่ใจได้ว่า จะมีจำนวนนักเรียนอย่างน้อย 2 คนที่ได้รับคะแนนเท่ากัน
4)            อยากทราบว่าจะต้องมีคนอย่างน้อยที่สุดกี่คนจึงจะรับประกันได้ว่าจะมีคนเกิดเดือนเดียวกันสามคน และจงพิสูจน์ว่าคำตอบนั้นเป็นจริง
5)            มีจุดห้าจุดอยู่ในรูปสามเหลี่ยมด้านเท่ายาวด้านละสองหน่วย จงแสดงว่าจะมีจุดสองจุดที่ห่างกันไม่เกินหนึ่งหน่วย
6)             ถ้าให้จุดสิบจุดอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่ายาวด้านละสามหน่วย จงแสดงว่าจะมีจุด  สองจุดที่ห่างกันไม่เกินหน่วย
7)             ถ้าเรามีจำนวนเต็มบวกที่ต่างกัน n+1 ตัว ที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2n จงแสดงว่า ภายในจำนวนนี้จะมีจำนวนคู่หนึ่งที่บวกกันได้ 2n+1
8)             ถ้าเรามีจำนวนเต็มบวกที่ต่างกัน n+1 ตัว ที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2n จงแสดงว่าภายในจำนวนนี้จะมีจำนวนคู่หนึ่งที่ตัวหารร่วมมากของสองจำนวนนี้เท่ากับหนึ่ง
การหาคำตอบ
              ข้อ 6) สร้างรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่าด้านละ 1 หน่วย จะได้ 9 รูป ให้ 9 รูปนั้นแทงรัง และ 10 จุดนั้นแทนนก เราจะได้สิ่งที่ต้องการ
              ข้อ 7) สร้างเซตต่อไปนี้ {1,2n},{2,2n¯1},{3,2n¯2},…, {n,n+1}  ให้เซตเหล่านี้ทั้งหมดแทนรัง ให้จำนวนทั้งหมด n+1 แทนนก เราจะได้สิ่งที่ต้องการ
              ข้อ 8) ทำนองเดียวกับข้อ 4 แต่สร้างเซตแบบนี้ค่ะ {1,2},{3,4},{5,6},…, {n,n+1}

 



                     สมมุติว่ามีชาย 25 คนหญิง 25 คนนั่งรอบโต๊ะกลม แสดงว่าต้องมีคนนั่งระหว่างผู้หญิงเสมอ
                                                                          



บทที่ 4
                    ผลการดำเนินงาน
   ผลที่เกิดจากการการพิสูจน์ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้
จากทฤษฎีบทที่ 2 หลักการรังนกพิราบในกรณีทั่วไป (The Generalized Pigeonhole Principle ) ให้
 N , K € I ถ้ามีนกพิราบ N ตัว บินเข้ารัง K รัง จะได้ว่า จะมีรังนกอย่างน้อย 1 รัง ที่มีนกพิราบอย่างน้อย  ตัว
ตัวอย่างที่ 1
                      ในจำนวนคน 100 คน จะมีอย่างน้อย  = 9 คน ที่เกิดเดือนเดียวกัน เพราะเนื่องจากหนึ่งปีมี 12 เดือน
ตัวอย่างที่ 2
                        จงหาจำนวนนักเรียนที่น้อยที่สุดที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์เพื่อให้แน่ใจได้ว่ามีนักเรียนอย่างน้อย 6 คน ที่ได้เกรดเดียวกัน โดยเกรดที่เป็นไปได้ทั้งหมดในการเรียนวิชานี้ มีอยู่ 5 เกรด คือ A,B,C,D และ F เราพิจารณาว่าเกรดแต่ละเกรดเป็นรังนก ซึ่งมี 5 รัง ( มี 5 เกรด ) และจำนวนนักเรียนเปรียบเป็นจำนวนนกพิราบ โดยให้จำนวนนักเรียนที่เรียนทั้งหมด ให้มีนักเรียนอย่างน้อย 6 คน ที่ได้รับเกรดเดียวกัน เป็น N คน จากทฤษฎีบทที่ 2 ของหลักการรังนกพิราบ จะได้ว่า  = 6 ดังนั้น ค่า N ที่เป็นไปได้ทั้งหมด มีอยู่ 5 ค่า คือ
(5X5) + 1 = 26
(5X5) + 2 = 27
(5X5) + 3 = 28
(5X5) + 4 = 29
(5X5) + 5 = 30

ดังนั้น จะได้ว่า ค่า N ที่น้อยที่สุด คือ 26 คน เพราะฉะนั้น จำนวนนักเรียนที่น้อยที่สุดที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าจะมีนักเรียนอย่างน้อย 6 คน ที่ได้เกรดเดียวกัน คือ 26 คน





บทที่ 5
สรุปผลและการนำไปใช้
การนำไปประยุกต์ใช้
                  ต่อไปจะนำหลักการรังนกพิราบ ( The Pigeonhole principle ) ไปประยุกต์ใช้กับปัญหาหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้สีกราฟ โดยในที่นี้จะเป็นการพิสูจน์กรณีหนึ่งของการเกิด monochromatic triangle ( กรณี 6 จุด ) ซึ่งเป็นการให้สีเส้นเชื่อม ( edge ) ที่เชื่อมกันระหว่างจุด 2 จุด
ปัญหา
         วาดจุด 6 จุด ลงบนระนาบโดยทุกเส้นเชื่อม ( edge ) ระหว่างจุด 2 จุดจะถูกระบายสีเส้นเป็นสีแดง หรือสีฟ้าอย่างใดอย่างหนึ่ง จงพิสูจน์ว่าจะเกิด monochromatic triangle
หมายเหตุ ;
                 Monochromatic triangle คือสามเหลี่ยมที่มีด้านหรือเส้นเชื่อมมีสีเป็นสีเดียวกันทั้ง 3 เส้นและการเกิด monochromatic triangle จะเกิดขึ้นได้ต้องมีจำนวนจุดอย่างน้อย 6 จุด ถ้ามีจำนวนจุดน้อยกว่า 6 จุดจะไม่เกิด
แนวคิดและการพิสูจน์
            ปัญหานี้ดูผิวเผินแล้วดูเหมือนไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักการรังนกพิราบ (The Pigeonhole principle ) ได้เลย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่ ซึ่งสามารถนำมาช่วยในการพิสูจน์ปัญหานี้ได้จะเริ่มด้วยการพิจารณาว่าอะไรคือสิ่งที่แทนจำนวนรังนกและอะไรแทนจำนวนนกพิราบ ซึ่งเริ่มต้นเรายังไม่สามารถระบุลงไปชัดเจนได้ว่า จะใช้อะไรแทนดี  แต่อย่างไรก็ตาม  เราก็ยังพอที่จะคิดหรือรู้ได้ว่า สามเหลี่ยมจะต้องถูกสร้างขึ้นมาจากเส้นเชื่อมระหว่าจุดแน่นอน เนื่องจากจำนวนเส้นเชื่อมทั้งหมดระหว่างจุด 2 จุด ( มีจำนวนจุดอยู่ทั้งหมด 6 จุด ) เท่ากับ  = 15 เส้นเชื่อม



                                            จากหลักการรังนกพิราบ ( ทฤษฎีบทที่ 2 ) โดยเปรียบให้จำนวนเส้นเชื่อม 15 เส้น คือ จำนวนนกพิราบ 15 ตัว และ จำนวนสี คือ จำนวนรังนกพิราบ ( มีอยู่ 2 สี แดงกับฟ้า ) ดังนั้น เราจะได้ว่า จะมีอย่างน้อย  =  8 เส้นเชื่อม ที่ถูกระบายสีเป็นสีเดียวกัน ( เปรียบเหมือนอยู่ในรังนกเดียวกัน ) เราจะเลือกสีมา 1 สี ระหว่างสีแดงกับสีฟ้า สมมุติเป็นสีแดง ( ถ้าเลือกสีฟ้าก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน ) แต่หลังจากลองวาดรูปและลองพิจารณาดูแล้วจะเห็นว่าเราไม่สามารถที่จะยืนยันได้ว่าจะเกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้งสามเป็นสีแดงได้ ดังรูปที่ 1
รูปที่ 1 ไม่เกิดสามเหลี่ยมที่เกิดจากเส้นเชื่อมทั้งแปด
                     
           ดังนั้น การกำหนดรูปแบบในลักษณะแบบนี้ จึงใช้ไม่ได้
                 
      เราจึงต้องมาพิจารณาหารูปแบบใหม่ โดยคราวนี่เราจะพิจารณาโดยเริ่มจากการเน้นไปที่จุดใดจุดหนึ่งใน 6 จุด สมมุติให้เป็นจุด A ( ถ้ากำหนดหรือสมมุติเป็นจุดอื่นก็จะได้ผลออกมาในทำนองเดียวกัน ) ดังนั้นเราได้ว่าจะมีเส้นเชื่อมที่ติดกับ ( incident ) จุด A อยู่ทั้งหมด 5 เส้นเชื่อม ดังรูปที่สอง



                                                       รูปที่สอง : แสดงเส้นเชื่อมทั้ง 5 เส้น ที่ติดกับจุด



                 ดังนั้น จากหลักการรังนกพิราบ ( ทฤษฎีบทที่ 2 ) โดยเปรียบให้จำนวนเส้นเชื่อมทั้ง 5 เส้นที่ติดกับจุด A คือจำนวนนกพิราบ 5 ตัว และจำนวนสีคือรังของนกพิราบเราจะได้ว่าจะมีอย่างน้อย  = 3  เส้นเชื่อมที่ติดกับจุด A ถูกระบายเป็นสีเดียวกัน สมมุติให้เป็นสีแดง และให้ด้าน AB , AC, และ 3 เส้นเชื่อนั้น ( ถ้ากำหนดให้เป็นสีฟ้า และเป็น 3 เส้นเชื่อมอื่นโดยเลือกจาก 5 เส้นเชื่อมที่ติดกับจุด A แล้วก็จะได้ผลออกมาในทำนองเดียวกัน )
                   ขั้นต่อมา เราจะแบ่งออกได้ 2 กรณี โดยพิจารณาจากด้าน BC และ BD ดังนี้
1)            ถ้าด้านใดด้านหนึ่งระหว่าง BC,CD และ BD เป็นสีแดงอย่างน้อย 1 ด้านก็จะทำให้เกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้ง 3 เป็นสีแดง ดังรูปที่ 3



 


                                 รูปที่ 3 แสดงกรณีการเกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้ง 3 เป็นเส้นสีเเดง
1)             ถ้าทั้ง 3 เส้นเชื่อม คือ BC,CD และ BD เป็นสีฟ้าทั้ง 3 เส้นก็จะทำให้เกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้ง 3 ด้านเป็นสีฟ้า ดังรูปที่ 4



                                    รูปที่ 3 แสดงกรณีการเกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้ง 3 เป็นเส้นสีแดง จะเห็นได้ว่า จากทั้ง 2 กรณี ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้งสามเป็นสีเดียวกันจึงได้ว่า จะมี monochromatic triangle เกิดขึ้น



เอกสารอ้างอิง
สมวงษ์  แปลงประสพโชค  และคณะ. คู่มือการสอนโครงงานคณิตศาสตร์. พิมพ์ครั้งที่ 3
กรุงเทพฯ :  2545.
http//www.mathcenter.net/sermra/sermpra42/sermpra42p04.shtml
ยุพิน  พิพิธกุล  ศ.และคณะ.  101  โครงงานคณิตศาสตร์ (101 Mathematiccal Projects)  กรม
วิชาการ,                กระทรวงศึกษาธิการ.2540
สมวงษ์  แปลงประสพโชค  และคณะ.รวมโครงงานคณิตศาสตร์. Leara and Play MATHGROUP 
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร, 2547. 



ภาคผนวก



















ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น