โครงงาน
เรื่อง ทฤษฎีรังนกพิราบ
นางสาวสุนันทา ศรีสุข
โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ภาคเรียนที่
1 ปี การศึกษา 2557
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
โครงงาน
เรื่อง ทฤษฎีรังนกพิราบ
นางสาวสุนันทา ศรีสุข
รหัสนักศึกษา
55181400143
สาขาวิชา คณิตศาสตร์
โครงงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ
ภาคเรียนที่
1 ปี การศึกษา 2557
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์
โครงงานคณิตศาสตร์
เรื่อง ทฤษฎีรังนกพิราบ
ผู้จัดทำโครงงาน
นางสาวสุนันทา ศรีสุข
รหัสนักศึกษา 55181400143
สาขาวิชา คณิตศาสตร์
บทคัดย่อ
โครงงาน ทฤษฎีรังนกพิราบ (The Pigeonhole
principle) เป็นการใช้ความจริงในธรรมชาติซึ่งเกี่ยวกับนกพิราบและรังของนกพิราบ
โดยกล่าวว่า “ถ้ามีจำนวนนกพิราบมากกว่าจำนวนของรังนกพิราบแล้ว จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งรัง ที่มีจำนวนนกพิราบอย่างน้อยสองตัว” และหลักการรังนกพิราบนี้ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ Dirichlet drawer principle” เนื่องจากหลักการนี้ถูกใช้ครั้งแรกโดยนักคณิตศาสตร์ ชื่อ P.G.L. Dirichlet (1805 – 1859) ซึ่งจากหลักการนี้ สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา และคาดการณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจากทฤษฎีกล่าวว่า ถ้า
ให้ K € I+ ถ้ามีนกพิราบอย่างน้อย K+1
ตัว บินเข้ารัง K
รัง แล้วจะมีรังอย่างน้อย 1 รัง ที่มีนกพิราบอย่างน้อย 2
ตัว และจากหลักการนี้นำไปแก้ปัญหาและสถานการณ์ต่าง
ๆ เช่น
มีจำนวนนักเรียนที่น้อยที่สุดที่เรียนคณิตศาสตร์แล้วแน่ใจได้ว่า มีนักเรียนอย่างน้อยหกคนที่ได้เกรดเดียวกัน โดยเกรดที่เป็นไปได้ทั้งหมดในการเรียนวิชานี้ มีอยู่
5 เกรด คือ A
, B , C , D และ F จากการใช้ทฤษฎีบทที่ 2
จะได้ว่า
จำนวนนักเรียนที่น้อยที่สุดที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าจะมีนักเรียนอย่างน้อย 6
คนที่ได้เกรดเดียวกัน คือ 26 คน
สรุปได้ว่า ทฤษฎีรังนกพิราบ เป็นอีกแนวคิดหนึ่งที่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหา คาดเดาสถานการณ์และพยากรณ์เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้
กิตติกรรมประกาศ
โครงงานคณิตศาสตร์ฉบับนี้สำเร็จอย่างสมบรูณ์ได้ด้วยการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ต่างๆและเพื่อนร่วมชั้นเรียนที่ให้คำแนะนำที่ดีในการจัดทำโครงงานฉบับนี้และคอยชี้แนะแนวทางในการทำโครงงานในแหล่งที่หาข้อมูลของโครงงาน
นางสาวสุนันทา ศรีสุข
สารบัญ
เรื่อง หน้า
บทที่1 บทนำ
1
บทที่2 แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
4
บทที่3 วิธีดำเนินการ 6
บทที่4 ผลการดำเนินงาน 8
บทที่5 สรุปผลและการนำไปใช้
9
เอกสารอ้างอิง
13
ภาคผนวก 14
บทที่
1
บทนำ
ความสำคัญ
การศึกษาวิธีการทางคณิตศาสตร์เพื่อเป็นพื้นฐานในการคิดอย่างมีระบบและมีเหตุผล
เป็นธรรมชาติของคณิตศาสตร์กับธรรมชาติของคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์กับธรรมชาติ หลังวิธีคิดทางคณิตศาสตร์การศึกษาของเราจึงต้องหาวิธีอธิบายสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมากมากคณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์
ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ ระเบียบ มีแบบแผน
สามารถวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ
ทำให้สามารถคาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง
คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือในการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนศาสตร์อื่นๆ
ที่เกี่ยวข้อง คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิต
และช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้นนอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังช่วยพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีความสมดุลทั้งทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา
และอารมณ์ สามารถคิดเป็น ทำเป็น แก้ปัญหาเป็น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
คณิตศาสตร์เป็นทักษะที่สำคัญที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวันซึ่งในการดำรงชีวิตใน แต่ละวันจะต้องมีตัวเลขเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลาไม่มากก็น้อยธรรมชาติกับคณิตศาสตร์จึงเป็นความสัมพันธ์ที่สามารถอธิบายเป็นหลักการได้มากมาย
หลักการรังนกพิราบ (The
pigeonhole principle)
หลักการรังนกพิราบ
(The pigeonhole principle) เป็นการใช้ความจริงในธรรมชาติซึ่งเกี่ยวกับนกพิราบและรังของนกพิราบ
โดยกล่าวว่า “ถ้ามีจำนวนนกพิราบมากกว่ารังนกพิราบแล้ว
จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งรัง ที่ทีจำนวนนกพิราบอย่างน้องสองตัว” และหลักการรังนกพิราบนี้
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Dirichlet drawer principle”
เนื่องจากหลักการนี้ถูกใช้ครั้งแรกโดยนักคณิตศาสตร์ชื่อ P.G.L. Dirichlet (1805-1859) ซึ่งจากหลักการนี้
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา แหละคาดการเหตุการณ์การต่างๆ ได้ซึ่งจะนำเสนอต่อไปนี้
วัตถุประสงค์ของโครงงาน
1. เพื่อศึกษาหลักการนกพิราบ
2. เพื่อพิสูจน์ทฤษฎีหลักการนกพิราบ
3.
เพื่อประยุกต์หลักการและนำไปใช้ในการแก้ปัญหาและสถานการณ์ปัจจุบัน
คณิตศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎีนกพิราบ
การพิสูจน์ทฤษฎี
การแก้สมการ
กฎการนับเบื้องต้น
ขั้นตอนการดำเนินการ
1. ศึกษาหัวข้อโครงงาน
2. ค้นคว้าข้อมูลจากคอมพิวเตอร์
(อินเทอร์เน็ต)
3.
หาวิธีการพิสูจน์ทฤษฎีและพิสูจน์ทฤษฎี
4. ตรวจสอบปรับปรุงแก้ไขโครงงาน
5. สรุป
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.
ได้เรียนรู้แนวคิดทฤษฎีที่ยังไม่เคยศึกษามาก่อน
2.
ได้ฝึกการใช้ความรู้ทางคณิตศาสตร์ในการพิสูจน์ทฤษฎี
โดยต้องใช้ความพยายามและพื้นฐานทางคณิตศาสตร์อย่างถูกต้องและแม่นยำ
3.
ได้นำแนวคิดทฤษฎีรังนกพิราบไปประยุกต์ใช้
ใช้ในการคาดเดา
พยากรณ์แก้ปัญหาต่างๆ
ในปัจจุบันและเป็นความรู้พื้นฐานในการเรียนชั้นสูงต่อไป
บทที่ 2
แนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
หลักการรังนกพิราบ (The
pigeonhole principle)
หลักการรังนกพิราบ (The
pigeonhole principle)
เป็นการใช้ความจริงในธรรมชาติซึ่งเกี่ยวกับนกพิราบและรังของนกพิราบ โดยกล่าวว่า “ถ้ามีจำนวนนกพิราบมากกว่ารังนกพิราบแล้ว
จะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งรัง ที่ทีจำนวนนกพิราบอย่างน้องสองตัว” และหลักการรังนกพิราบนี้
มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Dirichlet drawer principle”
เนื่องจากหลักการนี้ถูกใช้ครั้งแรกโดยนักคณิตศาสตร์ชื่อ P.G.L. Dirichlet (1805-1859) ซึ่งจากหลักการนี้
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการแก้ปัญหา แหละคาดการเหตุการณ์การต่างๆ ได้ซึ่งจะนำเสนอต่อไปนี้
ทฤษฎีบทที่ 1
หลักการรังนกพิราบ (The pigeonhole
principle)ให้
K
€ I⁺ถ้ามีนกพิราบอย่างน้อย
K+ 1 ตัว บินเข้ารัง K รัง แล้วมีรังอย่างน้อย 1 รัง
ที่มีนกพิราบอย่างน้อย 2 ตัว
|
พิสูจน์ทฤษฎีบทที่ 1
จะใช้วิธีการขัดแย้ง (by
contradiction) ในการพิสูจน์ ให้ K € I⁺ มีนกอย่างน้อย K+1 ตัว บินเข้ารัง K
รัง สมมติให้ ไม่มีรังนกใดเลยใน K รัง ที่มีนกมากกว่า
1 ตัว ดังนั้นรังนกแต่ละรังจะมีนก 1
ตัว หรือไม่มีเลย และมีรังนกทั้งหมด K รัง
จึงได้ว่าจะมีจำนวนนกทั้งหมดน้อยกว่า 1
ตัวหรือเท่ากับ K
ตัว (จำนวนทั้งหมด ≤ K ×1 )
เกิดข้อขัดแย้ง
เพราะมีจำนวนนกอย่างน้อย K+ 1
ตัว เพราะฉะนั้น ถ้ามีนกอย่างน้อย K+ 1
ตัว บินเข้ารัง K
รัง จะมีรังอย่างน้อย 1 รัง ที่มีนกน้อย 2 ตัว
ทฤษฎีบทที่ 2
หลักการรังนกพิราบในกรณีทั่วไป (The Generalized
pigeonhole principle)
ให้ N, K € I⁺ ถ้ามีนกพิราบ N ตัว บินเข้ารัง K รัง
จะได้ว่าจะมีรังอย่างน้อย 1 รัง
ที่มีนกพิราบอย่างน้อย
|
พิสูจน์ทฤษฎีบทที่ 2
ใช้วิธีการขัดแย้ง
(by contradiction) ในการพิสูจน์
ให้ให้ N,
K € I⁺
, ถ้ามีนก N ตัว บินเข้ารัง K รัง
สมมติให้ไม่มีรังนกใดที่มีนกอยู่มากกว่า
1 ตัว
จะได้ว่า
จะมีจำนวนนกทั้งหมดไม่เกิน K ×
ตัว
จากคุณสมบัติของ ceiling
function ที่กล่าวว่า
<
X+1
ดังนั้น จะได้ว่า
<
+ 1
เพราะฉะนั้น K ×
K ×
เกิดข้อขัดแย้ง
เพราะมีนกอยู่ทั้งหมด N ตัว
บทที่ 3
วิธีดำเนินการ
แนวทางการศึกษาค้นคว้า
เนื่องด้วยโครงงานนี้เป็นโครงงานคณิตศาสตร์ ประเภทการสร้างทฤษฎีหรือการอธิบาย
(Thertied Research Project) จึงได้นำเสนอความคิดใหม่ๆ
ในการอธิบายเรื่องทฤษฎีรังนกพิราบนี้
โดยใช้หลักการความเป็นเหตุเป็นผลทางคณิตศาสตร์หรือทฤษฎีสนับสนุน ในการทำโครงงาน
จากการพิสูจน์ทฤษฎี
จากการพิสูจน์ทฤษฎีดังกล่าวสามารถนำมาช่วยแก้ปัญหาและประยุกต์ใช้ในการหาคำตอบโจทย์ต่างๆ
ดังนี้
1)
ในกลุ่มคนที่มี 367
คน จะต้องมีอย่างน้อย 2 คน ที่เกิดวันเดียวกัน
เนื่องจากมีวันเกิดที่แตกต่างกันได้ทั้งหมด 366 วัน
2)
ในบรรดาคำต่างๆ ในภาษาอังกฤษ
27
คำ จะต้องมีอย่างน้อย 2 คำ ที่ขึ้นต้นด้วยอักษรตัวเดียวกันเนื่องจากอักษรภาษาอังกฤษมีทั้งหมด
26 ตัว
3)
จงหาว่าจะต้องมีนักเรียนอย่างน้อยเท่าใดในชั้นเรียน
จึงจะสามารถอธิบายได้ว่า จะมีนักเรียน 2 คน
ที่ได้รับคะแนนเท่ากัน จากการสอบครั้งนี้ คะแนนมีค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 คะแนน
วิธีการหาคำตอบ
เนื่องจากการมีคะแนนที่เป็นไปได้ทั้งหมด 101
ค่า ดังนั้น จากทฤษฎีบทที่ 1 ของหลักการรังนกพิราบจะได้ว่า
ต้องมีนักเรียนอย่างน้อย 101 + 1 = 102 คน จึงจะแน่ใจได้ว่า
จะมีจำนวนนักเรียนอย่างน้อย 2 คนที่ได้รับคะแนนเท่ากัน
4)
อยากทราบว่าจะต้องมีคนอย่างน้อยที่สุดกี่คนจึงจะรับประกันได้ว่าจะมีคนเกิดเดือนเดียวกันสามคน
และจงพิสูจน์ว่าคำตอบนั้นเป็นจริง
5)
มีจุดห้าจุดอยู่ในรูปสามเหลี่ยมด้านเท่ายาวด้านละสองหน่วย
จงแสดงว่าจะมีจุดสองจุดที่ห่างกันไม่เกินหนึ่งหน่วย
6)
ถ้าให้จุดสิบจุดอยู่ในรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่ายาวด้านละสามหน่วย
จงแสดงว่าจะมีจุด สองจุดที่ห่างกันไม่เกินหน่วย
7)
ถ้าเรามีจำนวนเต็มบวกที่ต่างกัน n+1
ตัว ที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2n จงแสดงว่า ภายในจำนวนนี้จะมีจำนวนคู่หนึ่งที่บวกกันได้
2n+1
8)
ถ้าเรามีจำนวนเต็มบวกที่ต่างกัน n+1
ตัว ที่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 2n จงแสดงว่าภายในจำนวนนี้จะมีจำนวนคู่หนึ่งที่ตัวหารร่วมมากของสองจำนวนนี้เท่ากับหนึ่ง
การหาคำตอบ
ข้อ 6) สร้างรูปสี่เหลี่ยมด้านเท่าด้านละ 1
หน่วย จะได้ 9 รูป ให้ 9 รูปนั้นแทงรัง และ 10 จุดนั้นแทนนก
เราจะได้สิ่งที่ต้องการ
ข้อ 7) สร้างเซตต่อไปนี้ {1,2n},{2,2n¯1},{3,2n¯2},…, {n,n+1}
ให้เซตเหล่านี้ทั้งหมดแทนรัง ให้จำนวนทั้งหมด n+1 แทนนก เราจะได้สิ่งที่ต้องการ
ข้อ 8) ทำนองเดียวกับข้อ 4 แต่สร้างเซตแบบนี้ค่ะ {1,2},{3,4},{5,6},…,
{n,n+1}
บทที่
4
ผลการดำเนินงาน
ผลที่เกิดจากการการพิสูจน์ทฤษฎีและการประยุกต์ใช้
จากทฤษฎีบทที่
2
หลักการรังนกพิราบในกรณีทั่วไป (The
Generalized Pigeonhole Principle ) ให้
N , K € I⁺ ถ้ามีนกพิราบ
N ตัว บินเข้ารัง K รัง จะได้ว่า
จะมีรังนกอย่างน้อย 1 รัง ที่มีนกพิราบอย่างน้อย
ตัว
ตัวอย่างที่ 1
ในจำนวนคน 100
คน จะมีอย่างน้อย
=
9 คน ที่เกิดเดือนเดียวกัน เพราะเนื่องจากหนึ่งปีมี 12 เดือน
ตัวอย่างที่ 2
จงหาจำนวนนักเรียนที่น้อยที่สุดที่เรียนวิชาคณิตศาสตร์เพื่อให้แน่ใจได้ว่ามีนักเรียนอย่างน้อย
6
คน ที่ได้เกรดเดียวกัน โดยเกรดที่เป็นไปได้ทั้งหมดในการเรียนวิชานี้
มีอยู่ 5 เกรด คือ A,B,C,D และ
F เราพิจารณาว่าเกรดแต่ละเกรดเป็นรังนก ซึ่งมี 5 รัง ( มี 5 เกรด )
และจำนวนนักเรียนเปรียบเป็นจำนวนนกพิราบ โดยให้จำนวนนักเรียนที่เรียนทั้งหมด
ให้มีนักเรียนอย่างน้อย 6 คน ที่ได้รับเกรดเดียวกัน เป็น N
คน จากทฤษฎีบทที่ 2 ของหลักการรังนกพิราบ
จะได้ว่า
=
6 ดังนั้น ค่า N ที่เป็นไปได้ทั้งหมด มีอยู่ 5
ค่า คือ
(5X5) + 1 = 26
(5X5) + 2 = 27
(5X5) + 3 = 28
(5X5) + 4 = 29
(5X5) + 5 = 30
ดังนั้น
จะได้ว่า ค่า N ที่น้อยที่สุด คือ 26 คน
เพราะฉะนั้น จำนวนนักเรียนที่น้อยที่สุดที่จะทำให้แน่ใจได้ว่าจะมีนักเรียนอย่างน้อย
6 คน ที่ได้เกรดเดียวกัน คือ 26 คน
บทที่
5
สรุปผลและการนำไปใช้
การนำไปประยุกต์ใช้
ต่อไปจะนำหลักการรังนกพิราบ
(
The Pigeonhole principle ) ไปประยุกต์ใช้กับปัญหาหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการให้สีกราฟ
โดยในที่นี้จะเป็นการพิสูจน์กรณีหนึ่งของการเกิด monochromatic triangle ( กรณี 6 จุด ) ซึ่งเป็นการให้สีเส้นเชื่อม
( edge ) ที่เชื่อมกันระหว่างจุด 2 จุด
ปัญหา
วาดจุด 6 จุด ลงบนระนาบโดยทุกเส้นเชื่อม (
edge ) ระหว่างจุด 2 จุดจะถูกระบายสีเส้นเป็นสีแดง
หรือสีฟ้าอย่างใดอย่างหนึ่ง จงพิสูจน์ว่าจะเกิด monochromatic triangle
หมายเหตุ ;
Monochromatic triangle คือสามเหลี่ยมที่มีด้านหรือเส้นเชื่อมมีสีเป็นสีเดียวกันทั้ง
3 เส้นและการเกิด monochromatic triangle จะเกิดขึ้นได้ต้องมีจำนวนจุดอย่างน้อย 6 จุด
ถ้ามีจำนวนจุดน้อยกว่า 6 จุดจะไม่เกิด
แนวคิดและการพิสูจน์
ปัญหานี้ดูผิวเผินแล้วดูเหมือนไม่น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลักการรังนกพิราบ
(The
Pigeonhole principle ) ได้เลย แต่ในความเป็นจริงแล้วมันมีความเกี่ยวข้องกันอยู่
ซึ่งสามารถนำมาช่วยในการพิสูจน์ปัญหานี้ได้จะเริ่มด้วยการพิจารณาว่าอะไรคือสิ่งที่แทนจำนวนรังนกและอะไรแทนจำนวนนกพิราบ
ซึ่งเริ่มต้นเรายังไม่สามารถระบุลงไปชัดเจนได้ว่า จะใช้อะไรแทนดี แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังพอที่จะคิดหรือรู้ได้ว่า
สามเหลี่ยมจะต้องถูกสร้างขึ้นมาจากเส้นเชื่อมระหว่าจุดแน่นอน
เนื่องจากจำนวนเส้นเชื่อมทั้งหมดระหว่างจุด 2 จุด ( มีจำนวนจุดอยู่ทั้งหมด 6 จุด ) เท่ากับ
=
15 เส้นเชื่อม
|
|
รูปที่
1 ไม่เกิดสามเหลี่ยมที่เกิดจากเส้นเชื่อมทั้งแปด
ดังนั้น
การกำหนดรูปแบบในลักษณะแบบนี้ จึงใช้ไม่ได้
เราจึงต้องมาพิจารณาหารูปแบบใหม่
โดยคราวนี่เราจะพิจารณาโดยเริ่มจากการเน้นไปที่จุดใดจุดหนึ่งใน 6 จุด สมมุติให้เป็นจุด A (
ถ้ากำหนดหรือสมมุติเป็นจุดอื่นก็จะได้ผลออกมาในทำนองเดียวกัน ) ดังนั้นเราได้ว่าจะมีเส้นเชื่อมที่ติดกับ
( incident ) จุด A อยู่ทั้งหมด 5
เส้นเชื่อม ดังรูปที่สอง
รูปที่สอง : แสดงเส้นเชื่อมทั้ง 5 เส้น ที่ติดกับจุด A
ดังนั้น จากหลักการรังนกพิราบ (
ทฤษฎีบทที่ 2 )
โดยเปรียบให้จำนวนเส้นเชื่อมทั้ง 5 เส้นที่ติดกับจุด
A คือจำนวนนกพิราบ 5 ตัว
และจำนวนสีคือรังของนกพิราบเราจะได้ว่าจะมีอย่างน้อย
= 3 เส้นเชื่อมที่ติดกับจุด A
ถูกระบายเป็นสีเดียวกัน สมมุติให้เป็นสีแดง และให้ด้าน AB ,
AC, และ 3 เส้นเชื่อนั้น (
ถ้ากำหนดให้เป็นสีฟ้า และเป็น 3 เส้นเชื่อมอื่นโดยเลือกจาก 5
เส้นเชื่อมที่ติดกับจุด A แล้วก็จะได้ผลออกมาในทำนองเดียวกัน
)
ขั้นต่อมา
เราจะแบ่งออกได้ 2 กรณี โดยพิจารณาจากด้าน BC และ BD ดังนี้
1)
ถ้าด้านใดด้านหนึ่งระหว่าง BC,CD และ BD เป็นสีแดงอย่างน้อย
1 ด้านก็จะทำให้เกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้ง
3 เป็นสีแดง ดังรูปที่ 3
รูปที่ 3 แสดงกรณีการเกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้ง 3
เป็นเส้นสีเเดง
1)
ถ้าทั้ง 3 เส้นเชื่อม
คือ BC,CD และ BD เป็นสีฟ้าทั้ง 3
เส้นก็จะทำให้เกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้ง 3 ด้านเป็นสีฟ้า
ดังรูปที่ 4
รูปที่
3
แสดงกรณีการเกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้ง 3 เป็นเส้นสีแดง จะเห็นได้ว่า จากทั้ง 2 กรณี ก็ล้วนแต่ทำให้เกิดสามเหลี่ยมที่มีด้านทั้งสามเป็นสีเดียวกันจึงได้ว่า
จะมี monochromatic triangle เกิดขึ้น
เอกสารอ้างอิง
สมวงษ์ แปลงประสพโชค
และคณะ. คู่มือการสอนโครงงานคณิตศาสตร์.
พิมพ์ครั้งที่ 3
กรุงเทพฯ :
2545.
http//www.mathcenter.net/sermra/sermpra42/sermpra42p04.shtml
ยุพิน
พิพิธกุล ศ.และคณะ. 101 โครงงานคณิตศาสตร์ (101 Mathematiccal Projects)
กรม
วิชาการ, กระทรวงศึกษาธิการ.2540
สมวงษ์
แปลงประสพโชค และคณะ.รวมโครงงานคณิตศาสตร์.
Leara
and Play MATHGROUP
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร,
2547.
ภาคผนวก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น